Sunday, 19 May 2024
เซาท์ไทม์

เผยไทม์ไลน์ปลดล็อคกัญชา

เริ่มจากร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดที่เข้าสู่รัฐสภา เป็นการประชุมร่วมกันระหว่าง ส.ส. และ ส.ว. ได้เสนอมาตอนนั้นในร่างมาตรา 29 มันไม่มีคำว่า "กัญชา" อยู่ตั้งแต่ร่างมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่กัญชาประเภท 5 เป็นยาเสพติดที่ถูกให้ความสำคัญมาตลอด ใน พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ

 

ต่อมารัฐสภาได้ทำการพิจารณาร่างประมวลกฎหมาย ยาเสพติด ซึ่งเสนอโดยรัฐบาล

ในมาตรา 29 ประเภท 5 มันไม่มีคำว่า ”กัญชา” อยู่ ซึ่งมีคำว่าพืชฝิ่น กับเห็ดขี้ควาย 2 อย่างเท่านั้น ซึ่งเมื่อก่อนตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษปี 2522 ประเภท 5 มันมีคำว่ากัญชา ยาฝิ่น กระท่อม แล้วก็ถอดกระท่อมออกเหลือ 2 อย่าง

 

นายศุภชัย ใจสมุทร เฝ้าเกาะติด มาตรา 29 มาตลอด มีคนเสนอว่า ควรจะต้องมีคำว่ากัญชาด้วยไหม ในการประชุม นายศุภชัย ใจสมุทร เข้าร่วมประชุมด้วย บอกว่า ไม่ มันไม่มาตั้งแต่แรก นายศุภชัยเป็นรองประธาน ในเวลานั้น บอกว่าไม่ต้องมีคำว่ากัญชา นี่คือที่มาทั้งหมด

 

พฤศจิกายน 2564

 

- รัฐสภาทำการพิจารณาแล้วเสร็จ จึงมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา และ มีผลบังคับใช้หลังจากนั้นอีก 30 วัน

 

8 ธันวาคม 2564

 

- จุดเริ่มต้นของการปลดล็อกกัญชา

- ประมวลกฎหมายยาเสพติด มีผลใช้บังคับ โดยการลงมติเห็นชอบ พร้อมทั้ง ส.ส. สว. ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล

 

ดังนั้นกัญชาไม่ได้เป็นยาเสพติดนับตั้งแต่วันที่ 8/12/2564 จนถึงปัจจุบัน

 

มกราคม 2565

 

- คณะกรรมการ ป.ป.ส.ได้มีการจัดประชุม คือตามกฎหมายมาตรา 29 กำหนดว่า ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด และโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ซึ่งมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบเรื่องนี้ ให้ประกาศระบุประเภทของยาเสพติดแต่ละประเภท

 

- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้เสนอต่อที่ประชุม คณะกรรมการ ป.ป.ส. ว่าสิ่งที่เป็นยาเสพติด คือ 1 คือ พืชฝิ่น 2 คือเห็ดขี้ควาย 3 คือสารสกัดจากกัญชา มีปริมาณสารเตตราไฮโดรแคนาบินอล (tetrahydrocannabinol – THC) เกิน 0.2 % ที่ยังเป็นยาเสพติด

 

- พรรคภูมิใจไทย ขอให้มีการประกาศบังคับใช้ โดยมีการนับไปอีก 120 วัน ก็คือวันที่ 8 มิถุนายน 2565

 

- นายศุภชัย เสนอ จะต้องมีกฎหมายพ.ร.บ. กัญชา กัญชง มาอีกฉบับหนึ่ง

 

- ที่ประชุมมอบให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีฉบับร่างอยู่แล้ว นำฉบับร่างพ.ร.บของพรรคภูมิใจไทย ที่เกี่ยวกับการทำเรื่องกัญชาเสรีทางการแพทย์นั้นมายื่น เพื่อให้ทันภายใน 120 วัน โดย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ไปยื่นต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาเองโดยตรง

 

- นายชวน หลีกภัย ประธานสภา พิจารณาบรรจุเข้ามาเป็นร่างพระราชบัญญัติต่อไปได้ และนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติรับรองให้ทันทีทันใด

 

9 มิถุนายน 2565

 

- วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ได้ตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา 25 คน และทำการพิจารณากันจนแล้วเสร็จ ผ่านไป 19 วันมีการประชุมรัฐสภาอีกครั้ง ปรากฏว่า มีการเสนอเข้าที่ประชุมแล้ว การเปิดเสรีกัญชานั้นได้ถูกตีตก จากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ก้าวไกล และพรรคประชาชาติ ไม่ยอมให้กฎหมายผ่านมติการประชุม

 

- พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เข้าสู่วาระที่ 2 มี ส.ส.จากพรรค ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ก้าวไกล ประชาชาติ ยืนยันจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จน ณ วันนี้สภาปิด พ.ร.บ.กัญชา ก็ค้างในสภา พรรคภูมิใจไทย เดินหน้าต่อ เพื่อจะทำกัญชาทางการแพทย์ตั้งแต่หาเสียง และเศรษฐกิจ จะไม่เอานันทนาการ พรรคภูมิใจไทย จะเอากัญชาทางการแพทย์เท่านั้น แต่โดนบิดเบือนจากพรรคการเมืองตรงข้ามพรรคภูมิใจไทย

 

10 มิถุนายน 2565

 

- อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการ “มหกรรมกัญชา 360 องศา ปลดล็อคกัญชา ประชาชนได้อะไร” พร้อมแจกต้นกล้ากัญชา 1 พันต้น ณ จังหวัดบุรีรัมย์

 

16 มิถุนายน 2565

 

- กระทรวงสาธารณสุขออกประกาศ สธ. มีผลบังคับใช้วันที่ 17 มิ.ย 2565 เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 4, 44, 45(3), 45(4) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 กำหนดให้กัญชา หรือสารสกัดกัญชา เป็นสมุนไพรควบคุม

 

18 มิถุนายน 2565

 

- อนุทิน ชาญวีรกูล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แจง ประกาศ สธ. กัญชาเป็นสมุนไพรควบคุม มีผลตามกฎหมายแล้ว

 

การขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กว่า ๑ ปี ในช่วงแรกเน้นให้ประชาชนเข้าถึงยากัญชาทางการแพทย์ ที่ได้มาตรฐานจากสถานพยาบาลใกล้บ้านกว่า ๓๐๐ แห่งทั่วประเทศ

 

การผลักดันนโยบายกัญชาดำเนินไปอย่างต่อเนื่องโดยพรรคภูมิใจไทย จนกระทั่ง วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ ได้มีการเสนอร่างกฎหมาย ๒ ฉบับ คือ ร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ แก้ไขเพิ่มเติม และร่างพระราชบัญญัติสถาบันพืชยาเสพติดแห่งประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กฎหมายปลูกกัญชาบ้านละ ๖ ต้น" เพื่อปลดล็อคกัญชาให้สามารถใช้ทางการแพทย์ได้อย่างแพร่หลาย และประชาชนสามารถปลูกได้ตาม นโยบาย ที่พรรคฯ หาเสียงไว้ในช่วงเลือกตั้ง

 

นโยบายปลดล็อกกัญชานี้ ออกมาเพื่อดึงดูดประชาชนให้สนใจ สนับสนุน และเลือกพรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาล และให้นายอนุทิน ชาญวีรกูลหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อที่จะได้ทำให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านมติ นายอนุทินยังกล่าวอีกว่า กัญชามีประโยชน์ ทั้งทางด้านการแพทย์ สุขภาพของประชาชน ช่วยในการรักษาโรคมากมาย และ ยังเป็นผลดีในทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วย การคืนกัญชาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์นี้ช่วยสร้างรายได้เสริม และ เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ พรรคภูมิใจไทยยังย้ำว่าถ้าไม่เลือกพรรคภูมิใจไทย คนที่ปลูกหรือใช้กัญชาจะกลับไปติดคุก

 

แต่ดูเหมือนว่าเกมที่พรรคภูมิใจไทยได้คิดไว้เหมือนจะพลิก เนื่องจาก พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ก้าวไกล และพรรคประชาชาติไม่ได้ลงมติเห็นชอบกับ พ.ร.บ กัญชาดังกล่าว พ.ร.บ จึง ถูกตีตกไป น่าจะเป็นด้วยเหตุผลทางการเมือง ที่กลัวพรรคภูมิใจไทยได้คะแนนนิยมจากประชาชนมากเกินไป นี่จึงเป็นอีกทางที่พรรคการเมืองอื่นๆอาทิ เพื่อไทย พลังประชารัฐ ฯลฯ ใช้เพื่อสกัด พรรคภูมิใจไทย โดยไม่ยอมรับ พ.ร.บ กัญชง กัญชา และลงมติไม่เห็นชอบ

 

ซึ่งดูขัดแย้งกับช่วงแรกที่พรรคภูมิใจไทย ได้ยื่นเสนอร่างต่อรัฐสภา ส.ส. สว. ทั้งฝ่ายค้าน ทั้งฝ่ายรัฐบาล และ นายกรัฐมนตรี ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ยอมรับ พ.ร.บ กัญชง กัญชา และ การเปิดเสรีกัญชาให้ใช้ได้อย่างถูกกฎหมาย โดยที่ไม่ถูกระบุอยู่ใน ประเภทของยาเสพติด แต่เมื่อการแสวงหาผลประโยชน์ และ การเลือกตั้ง ได้เกิดขึ้น ทุกอย่างจึงพลิกผัน เพื่อผลประโยชน์ของตนทั้งสิ้น

กระทรวงกลาโหมเลื่อนวันรายงานตัว

เมื่อวันที่ 6 เม.ย 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีเอกสารราชการ คำสั่งกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 66 ออกเผยแพร่ เรื่องการกำหนดวันรายงานตัวเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ผลัดที่ 1/2566

 

โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2566 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2566 กำหนดให้ คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 2566 นั้น

 

เนื่องด้วยพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. 2497 มาตรา 34 กำหนดให้ "ทหารกองเกินที่ถูกเข้ากองประจำการผู้ใด จักต้องเริ่มเข้ารับราชการทหารกองประจำการเมื่อใด ให้นายอำเภอท้องที่ที่รับเข้าตรวจเลือกเป็นผู้กำหนด และให้นายอำเภอออกหมายนัดเพื่อให้ทหารกองเกินผู้นั้นมา ณ ที่อำเภอท้องที่ตามที่ได้กำหนดไว้นั้น เพื่อเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ถ้าทหารกองเกินผู้นั้นไม่มาตามนัดให้ถือว่าหลีกเลี่ยงขัดขืน"

 

ดังนั้นเพื่อสนับสนุนการไปใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของทหารกองเกินที่จะต้องเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ผลัดที่ 1/2566 ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กระทรวงกลาโหมจึงขอให้กระทรวงมหาดไทย แจ้งผู้อำนวยการเขต/นายอำเภอ เพื่อประสานการปฏิบัติกับหน่วยสัสดีเขต/หน่วยสัสดีอำเภอ

 

เพื่อออกหมายนัดเข้ารับราชการทหาร (แบบ สด. 40) ให้ทหารกองเกินที่ถูกกำหนดให้เข้ารับราชการทหารกองประจำการ ผลัดที่ 1/2566 มารายงานตัวและแก้ไขวันรายงานตัวของผู้ที่ได้รับหมายนัดฯ ไปแล้ว จากเดิมวันที่ 1 พ.ค. 2566 เป็นวันที่ 15 พ.ค. 2566

 

ลงนามโดย พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ทำการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

“นพรุจ” อดีตเสื้อแดงตัวตึง

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2566 เวลา 11.00 น.นายนพรุจ วรชิตาวุฒิกุล อดีตคนเสื้อแดงที่เคยติดคุกร่วมกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คดีบุกบ้านสี่เสาเทเวศร์ และเป็นบุคคลเดียวกันที่ไปตะโกนด่าพรรคเพื่อไทยในวันเปิดรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ไปจัดกิจกรรมบริเวณหน้าเรือนจำคลองเปรม

 

โดยจำลองแพขนาดเล็ก และมีตัวแพะนอนอยู่บนแพที่ลอยในกาละมังเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงออกว่า พรรคเพื่อไทยปล่อยลอยแพคนเสื้อแดง

 

นายนพรุจ ได้ตะโกนขณะทำกิจกรรมว่า วันนี้ต้องการจะบอกไปถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยทั้ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายเศรษฐา ทวีสิน เคยต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือไม่ และรู้จักคำว่าประชาธิปไตยจริงแค่ไหน รู้ไหมคนเสื้อแดงเคยติดคุกในข้างเรือนจำคลองเปรมเพราะอะไร หลายคนติดคุกเพื่อ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแต่สุดท้ายหลายคนลำบากไม่มีใครช่วยเหลือ หลายคนที่ติดคุกข้างใน

 

ทั้งนี้วันนี้ตนต้องมาบอกประชาชนทั้งแผ่นดินว่า เลิกเชื่อเลิกรักพรรคเพื่อไทยได้แล้ว พวกตนติดคุกฟรีไม่มีใครดูดำดูแดงไม่มีใครมาเยี่ยมไม่มีแม้แต่ข้าวแดงแกงห่อสักชุด

 

“วันนี้ผมเอาแพะมาลอยแพต้องการสื่อให้รู้ว่าพวกผมเป็นแพะที่ถูกลอยแพ ถูกปล่อยให้ลอยตามสายลมถูกเท ไม่มีประโยชน์แล้วคนที่มีประโยชน์เป็นพวกเผด็จการที่มาเพิ่มเติมเพื่อ ”นายนพรุจ กล่าว

 

ที่มา : บ้านเมือง

 

ส่อเข้าข่ายใส่ร้ายป้ายสี ‘เรืองไกร’ ร้อง ‘นิพนธ์’ ขาดคุณสมบัติลงสมัคร ส.ส.

จู่ๆ “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐก็ลุกขึ้นมายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ “นิพนธ์ บุญญามณี” รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.หรือไม่ พร้อมยกเหตุรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาขึ้นมาเป็นเหตุ โดยขาดการตรวจสอบในเชิงลึก ติดกับดักไซแห้งของนิพนธ์

 

นักร้องชื่อดัง“เรืองไกร” ร้องค้าน “นิพนธ์” คาดว่า เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 หรือไม่ และขอให้ตรวจสอบว่า พรรคประชาธิปัตย์กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 50 มาตรา 51 มาตรา 55 มาตรา 117 หรือไม่

 

โดยเรืองไกร ระบุในหนังสือร้องเรียนว่า ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะต้องห้าม มิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ นอกจากนั้น พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 50, 51 และ 55 ยังกำหนดให้ คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ที่จะเสนอเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งห้ามมิให้ตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด หัวหน้าสาขาพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมือง ผู้ใดยินยอมให้บุคคลใดที่มิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเข้าแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมหรือให้ความเห็นชอบไม่ให้ความเห็นชอบในการดำเนินการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่มาตรา 117 ระบุว่า หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หัวหน้าสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 52 หรือมาตรา 55 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปี จากเหตุดังกล่าวจึงขอคัดค้านนายนิพนธ์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 5 ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่าเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 หรือไม่ และขอให้ กกต. รวมทั้งนายทะเบียนพรรคการเมือง ตรวจสอบว่า คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 1528/2564 ยังมีผลอยู่และมิได้ถูกยกเลิก

 

นักร้องอย่าง “เรืองไกร” น่าจะก้าวพลาดแล้ว จากการตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกที่มากกว่าคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่งของรัฐมนตรีมหาดไทย เพราะหลังจากถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งแล้ว “นิพนธ์” ได้ไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองกลาง และศาลปกครองกลางสั่งคุ้มครองชั่วคราวแล้ว

 

“นิพนธ์”ออกมาโต้เดือด พร้อมเตือนระวังเข้าข่ายใส่ร้ายป้ายสี

 

นิพนธ์ ยันได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคุณสมบัติไปยังประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการอีก 5 ท่านแล้วเมื่อที่ 4 เม.ย.66 ที่ผ่านมา โดยได้ชี้แจงกกต.

 

1. กระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งที่ 1524/ 2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ให้นายนิพนธ์ บุญญามณี พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ในวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2562

 

2. เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2564 ข้าพเจ้าได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ) ต่อศาลปกครองกลาง เพื่อเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวเป็นคดีหมายเลขดำที่ 1314/2565 โดยมีคำร้องขอทุเลาการบังคับคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ซึ่งข้าพเจ้าได้ระบุในคำขอทุเลาไว้อย่างชัดเจนว่า ถ้าให้คำสั่งของกระทรวงมหาดไทยในข้อ 1 มีผลบังคับใช้ต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากแม้ปัจจุบันผู้ฟ้องคดีได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว

 

3. เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2566 ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 เรื่อง ให้นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา พ้นจากตำแหน่งในวาระการดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2556 ถึงวันที่ 27 มิถุนายน 2562 ไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น อันมีผลเป็นการชะลอหรือระงับการบังคับตามผลของคำสั่งทางปกครองไว้เป็นการชั่วคราวตามข้อ 72 วรรคสาม และข้อ 69 วรรคสอง ระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดว่าด้วย วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543 ทั้งนี้ ศาลได้วินิจฉัยถึงเงื่อนไขในการที่ศาลปกครองจะมีอำนาจออกคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง ตามคำขอของข้าพเจ้า (ผู้ฟ้องคดี) สรุปความได้ว่า เงื่อนไขประการที่หนึ่ง คำสั่งกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในเงื่อนไขประการที่สองว่า คำสั่งกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว มีผลกระทบต่อคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีในการสมัคร รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การที่ผู้ฟ้องคดีขาดคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นกรณีที่จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังได้ ดังนั้น การให้คำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ที่สั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลามีผลใช้บังคับต่อไป จะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง

 

4.การที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ทำให้คำสั่งกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวสิ้นผลลงโดยเหตุอื่น ตามมาตรา 42 วรรคสอง พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 และมีผลทำให้ข้าพเจ้ามิใช่บุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อีกต่อไป

 

5.เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 กระทรวงมหาดไทย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ได้ทำคำชี้แจงกรณีที่ข้าพเจ้าได้ยื่นคำขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครอง (ครั้งที่ สาม ต่อศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ 1314/2564 รายละเอียดสรุปความได้ว่าการออกคำสั่งกระทรวงมหาดไทยที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ที่ให้นายนิพนธ์ บุญญามณี พ้นจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาฯ น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายตามแนวคำวินิจฉัยคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 581/2565 จึงยอมรับและไม่คัดค้านคำขอทุเลาตามคำสั่งทางปกครองของข้าพเจ้า

 

“"...การที่ผู้ฟ้องคดีขาดคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นกรณี ที่จะทําให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลังได้ ดังนั้น การให้คําสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 1528/2564 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 ที่สั่งให้ ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา มีผลใช้บังคับต่อไปจะทําให้ เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้ฟ้องคดีจนยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง..." นี้เป็นคำพิพากษาศาลปกครองกลาง

 

จากข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น เมื่อศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งคำสั่งของศาลปกครองกลางมีผลคุ้มครองทันทีจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

 

นิพนธ์ ยังกล่าวย้ำว่า เรืองไกร อาจจะมีความผิดเข้าข่ายใส่ร้ายป้ายสีในช่วงเลือกตั้ง

 

“ขอเตือนไปยังคุณเรืองไกรด้วยว่า คุณก็เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคพลังประชารัฐ มีเจตนาเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จผ่านสื่อ อาจเข้าข่ายการใส่ร้ายป้ายสีในช่วงเลือกตั้งเป็นโทษทางอาญา” นายนิพนธ์กล่าว

 

เคยมีบทเรียนมามากแล้วกับการปราศรัย ให้สัมภาษณ์ เปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จ ใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งทางการเมือง ศาลสั่งลงโทษมามากแล้ว และบางคนถึงขั้นถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็มี

 

งานนี้นักร้องดัง “เรืองไกร”อาจจะพลาด ขาดการตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึก อนาคตอาจจะถึงขั้นกราบกรานขอโทษ แต่โทษทางอาญามิอาจละเว้นได้

"พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" เปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน

ไม่บ่อยครั้งนัก "พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ" รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จะเปิดใจให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน โดยครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ตอบคำถามอย่างชัดเจนจุดยืนทางการเมือง ความคาดหวัง และแนวโน้มทิศทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง14 พ.ค. 66 อย่างตรงไปตรงมาหลายเรื่องระหว่างการให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อเครือเนชั่น

 

จุดแข็งของพรรคพลังประชารัฐ?

จุดแข็ง คือ พวกที่อยู่ในพรรคมีความรู้ ความสามารถ โดยคณะกรรมการ เป็นคนคัดเลือก และ สรรหาเข้ามาทุกคนมีความรู้ ความสามารถ ในการที่จะบริหารประเทศชาติ แต่ละคนก็มีโปรไฟล์ดีเป็นบุคคลากรที่มีคุณภาพ ทีมเศรษฐกิจทั้ง 5 คน มีที่ยืนด้วยกันทั้งนั้น เพราะต่างคนก็ต่างมีที่มา ยกตัวอย่างนโยบายประชารัฐ ก็เป็นของพรรคพลังประชารัฐที่ทำมาตั้งแต่ต้น นายอุตตม สาวนายน เป็นคนทำ

 

ถ้าได้นั่งนายกรัฐมนตรี สิ่งแรกที่ทำ?

หากได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำทันที ทุกเรื่องที่ทำให้ประชาชน อยู่ดีกินดีขึ้น ได้รับการแก้ไขปัญหา ที่ประชาชนเดือดร้อนทำทุกเรื่อง

 

ประชุมวันละกี่รอบ?

ประชุมทั้งวัน วันละหลายเรื่อง แต่ยอมรับว่าการเมืองจะหนักหน่อย เพราะมี 400 เขต เขตทับกันก็ต้องตัดสิน เขตทับกันทุกเขต ไม่มีใครยอมใคร ไปถามนักการเมืองมีใครยอมใครไหม

 

ทำไมตัดสินใจลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1?

ผมไม่ได้ตัดสินใจอะไรเลย เพราะลูกพรรคให้ผมลง ผมทำตามมติพรรค เพราะพรรคมีคณะกรรมการสรรหา มติพรรคให้ลงก็ลง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ มติพรรคออกมาแบบนี้ก้ต้องทำตามมติ

 

มั่นใจไหมว่าจะได้กี่ที่นั่ง?

มั่นใจหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชน ผมว่าไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง

 

อะไรที่ทำให้มั่นใจ?

แต่ละคนที่มาสมัครมีคุณภาพ ดังนั้น ส.ส. ไม่น้อยกว่า 70 ที่นั่ง จาก ส.ส.แบบแบ่งเขต หรือ รวมแล้วอาจจะเกิน100 โดยประเมินจากการทำโพล หลายช่องทาง มั่นใจได้ยกจังหวัด ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ กำแพงเพชร พะเยา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสระแก้ว ส่วนกาญจนบุรี คะแนนไว้ที่ 3-5 คน

 

ภาพพลังประชารัฐกับภูมิใจไทย ลงตัวกันแล้วไปไหนไปกัน?

ลงตัวอย่างไรละต้องไปถามอนุทิน (นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย)

 

พลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติ จะจับมือกันไหม?

มีเงื่อนไขเดียว ว่าใครได้ ส.ส. มากกว่าก็เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

 

การเลือกตั้งปี 62 กับปี 66 แตกต่างกว่ากัน?

การเลือกตั้งปี 66 ยากกว่า ปี 62 เพราะแต่ละพรรคขนาดใหญ่ สู้กันเยอะ

 

เบอร์เกี่ยว?

เรื่องหมายเลขผู้สมัคร ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และ บัญชีรายชื่อ หากชาวบ้านต้องการรู้จริง ๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา พรรคไม่ได้สนใจว่า พรรคการเมืองไหนจะมีกระแสอย่างไร แต่เสียงของรัฐบาล ต้องไม่ต่ำกว่า 251 เสียง ไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย

 

วิตกกังวลกระแสเพื่อไทยกับก้าวไกล หรือไม่ อีสาน กับ เหนือ กระแสดี?

ผมทำพรรคของผมเป็นหลัก ผมจะไปดูพรรคอื่นทำไม พรรคทุกพรรคดูพรรคตัวเองเป็นหลัก คือ ห้ามต่ำกว่า 70 เสียง คนอื่นได้เท่าไหร่ก็เรื่องของเค้า

 

จับมือเพื่อไทยได้?

คนละประเด็น อยากให้คนไทยรักกัน สามัคคีกัน นำพาประเทศไปด้วยกัน มีความคิดช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนทางการเมืองเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใครจะคิดอย่างไรว่าไป เป็นเรื่องของสภา

 

สามป.ในทางการเมืองไม่มีแล้ว?

3 ป. (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ,พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) หลังเลือกตั้งในทางการเมืองไม่มีแล้ว

 

สุขภาพจะส่งผลต่อสมรภูมิการเมืองลงพื้นที่ไหวหรือไม่?

ส่วนคำถามที่ว่าไหวไหมต้องถามกลับคนถามว่าไหวหรือเปล่า เพราะส่วนตัวเดินมาปีกว่าแล้ว ตรวจราชการครบทั้ง 77 จังหวัด บางจังหวัดไป 2-3 รอบก็มี ผมไม่เห็นมีอะไรมีแต่ขาเท่านั้น

 

ตอนไปจับเบอร์มั่นใจอะไร?

ได้เบอร์ 37 มาสองครั้ง ครั้งแรกจับให้เบอร์ 37 ผมไปจับก็ได้เบอร์ 37 เบอร์สามเจ็ดเป็นเลขที่ดีนะ เพราะเลข 3 บวก 7 รวมกันแล้วได้ 10 เลขสิบเป็นเลขดีทั้งหมด

 

ทำไมไม่อยากขึ้นดีเบต?

ผมไม่ได้เป็นนักโต้วาที ผมว่าไม่ได้ประโยชน์ ไม่เก่งเรื่องนี้

 

ทำไมการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเลือกพลังประชารัฐทำไมต้องเลือกเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี?

ประชาชนชอบพรรคไหนก็เลือกไป ผมอาสารับใช้ประชาชน ประชาชนเห็นว่าผมสมควรเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็เลือกผม ถ้าเห็นว่าผมไม่เหมาะสมก็ไม่ต้องเลือกผม

 

ขอขอบคุณข้อมูล

https://www.posttoday.com/thailand-election-2023/692930

สรรเพชญ ปชป. พบ ไอติม ก.ก.

(10 เม.ย.66) นายสรรเพชญ บุญญามณี ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เขต 1 จังหวัดสงขลา หมายเลข 4 ลงพื้นที่ถนนคนเดินสงขลาแต่แรก ในเขตเทศบาลนครสงขลา จังหวัดสงขลา เพื่อแนะนำตัว และประชาสัมพันธ์นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นที่รับรู้ของพี่น้องประชาชน โดยในการเลือกตั้งครั้งนี้ นายสรรเพชญ บุญญามณี ได้หมายเลข 4 ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้หมายเลข 26

 

โดยบรรยากาศในช่วงการเดินพบปะเพื่อขอคะแนนเสียงจากพี่น้องประชาชนที่มาเที่ยวชมตลาดถนนคนเดินฯนั้น ได้มีการพบกับ ไอติม พริษฐ์ จากพรรคก้าวไกล ที่เดินทางมาช่วยผู้สมัครในพื้นที่อีกด้วย ซึ่งทั้งนายสรรเพชญ และ ไอติม พริษฐ์ นั้นเคยอยู่ในกลุ่มการเมือง New Dem กลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกัน แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้อยู่ต่างพรรคกัน

 

โดยนายสรรเพชญ กล่าวในช่วงที่มีการพบปะกับไอติม ว่า “ขอให้กำลังใจกับไอติม พริษฐ์ และพรรคก้าวไกล ในการลงพื้นที่หาเสียงแข่งขันเพื่อนำเสนอสิ่งที่ดี ๆ ให้แก่พี่น้องประชาชน และขอให้ต่างฝ่ายต่างมีโอกาสได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนในการเข้าไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหา และพัฒนาพื้นที่ให้เจริญรุ่งเรือง เป็นที่พึ่งของประชาชนในฐานะ ส.ส.”

 

นายสรรเพชญ ยังกล่าวด้วยว่า “การที่ยังอยู่พรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิมนั้น เพราะเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และความทันสมัยที่พรรคพร้อมปรับเปลี่ยนให้ทันกับยุคสมัย ประกอบกับความเป็นสถาบันทางการเมืองที่อยู่คู่ประเทศไทยมากกว่า 78 ปี เป็นเครื่องยืนยันว่า ยุคสมัยมีความเปลี่ยนแปลงแต่อุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงยึดมั่นในสถาบันหลักของชาติ และคงไว้ซึ่งประโยชน์สูงสุดของประชาชนและประเทศชาติ”

บจก.พลังงานมหานครรับโล่ประกาศเกียรติคุณ

ดร.เพ็ชร ชินบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจก.พลังงานมหานคร บริษัทในกลุ่ม บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ รับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณแก่องค์กรที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมของสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

 

โดยมี นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในงานพิธีมอบเกียรติบัตรและเข็มเชิดชูเกียรติ "คนดีเก่ง คนกล้า สปน." ณ ห้องประชุม 108 อรรถไกวัลวที ชั้น 1 อาคารสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อเร็ว ๆ นี้

"นพวรรณ" ซัด "อนุสรณ์" เหตุกล่าวหา พปชร. บิดเบือน

จากกรณีที่ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่าได้ปราศรัยโจมตีการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เป็นการบิดเบือน ใส่ร้าย เพราะนโยบายที่พรรคเพื่อไทย นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สนับสนุนการเกณฑ์ทหาร เป็นระบบสมัครใจนั้น

 

ล่าสุด น.ส.นพวรรณ หัวใจมั่น ผู้สมัคร ส.ส. เขต 12 กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การที่ทางพรรคพลังประชารัฐ ได้หยิบยกประเด็นการยกเลิกการเกณฑ์ทหารขึ้นมาปราศรัย ความจริงเเล้ว การพูดถึงนโยบายนี้ของนายชัยวุฒิ ไม่ได้วิจารณ์เจาะจงเฉพาะพรรคเพื่อไทย เเต่พูดในภาพรวมเพื่อเเสดงจุดยืนว่าพรรคพลังประชารัฐไม่สนับสนุนการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร เเต่อยากให้คงไว้เพื่อการฝึกความรักชาติ เเละความเสียสละให้กับคนรุ่นใหม่

 

และที่สำคัญ หากนาย อนุสรณ์ จะออกมาตอบโต้ ประเด็นนี้ อยากให้นายอนุสรณ์ ย้อนกลับไปดูการขึ้นเวทีดีเบตของคนพรรคเพื่อไทยเอง ที่เคยระบุว่า พรรคเพื่อไทยอาจจะยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ซึ่งได้ปรากฏข้อความดังกล่าวผ่านสื่อต่าง ๆ ที่ได้นำเสนอข่าวออกไปแล้ว แบบนี้ จะบอกว่าทางพรรคพลังประชารัฐ ตั้งใจบิดเบือนข้อเท็จจริงได้อย่างไร? ก็ในเมื่อคนของพรรคเพื่อไทยเป็นคนพูดเอง จึงไม่เรียกว่าเป็นการใส่ร้ายและโจมตีกัน

 

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า การที่พรรคเพื่อไทยนําเสนอเรื่องการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร อาจจะต้องการเอาใจวัยรุ่น เพื่อแข่งกับพรรคก้าวไกล จะเห็นได้จากในหลาย ๆ ดีเบตหรือเวทีปราศรัย และตามหน้าสื่อต่าง ๆ ทางพรรคเพื่อไทยก็ได้เสนอนโยบายนี้ ดังนั้น ขอยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ พูดบนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่ปรากฏ จึงไม่ใช่การบิดเบือนใส่ร้ายกันทางการเมืองแต่อย่างใด

 

แต่ในทางกลับกัน ทางพรรคเพื่อไทยต่างหาก ที่โจมตีพรรคพลังประชารัฐว่า เป็นพรรคทหาร รวมทั้งโจมตี ‘พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หัวหน้าพรรค ว่าเป็นเผด็จการ ได้อำนาจมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งทางพรรคพลังประชารัฐ ไม่เคยออกมาตอบโต้ในสิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำไปโจมตีเลย แต่วันนี้ เราเพียงอยากจะใช้สิทธิ์พูดในสิ่งที่เห็นสมควร และขอยืนยันว่า ข้อมูลที่นำมาปราศรัยนั้นเป็นข้อมูลที่ถูกต้องไร้การบิดเบือน

 

ส่วนกรณีที่นายอนุสรณ์ บอกว่า นายชัยวุฒิ พาดพิงการเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของ พท. ซึ่งระบุว่า นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นตัวจริง ส่วนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นเพียงตัวหลอก เพื่อเรียกคะแนนนั้นนิยมนั้น ต่อกรณีดังกล่าว น.ส.นพวรรณ ยืนยันว่า การที่นายชัยวุฒิ กล่าวถึงแคนดิเดตนายกฯ พท. ตัวจริง หรือ ตัวหลอกนั้น ไม่ใช่เป็นการกล่าวพาดพิงเรื่องภายในพรรคอื่น แต่เป็นการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ จากบทบาทของแต่ละคน ที่ได้แสดงให้เห็นมาอย่างต่อเนื่อง หากมองในแง่คุณสมบัติของทั้ง 2 คน ยิ่งเห็นชัดว่า นางสาวแพทองธาร ยังขาดประสบการณ์ทั้งในด้านการเมืองและการบริหาร

 

ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนของคนที่อาสาเข้ามาเป็น “ผู้นำประเทศ” แน่นอนว่า คนในพรรคเพื่อไทย และนายทักษิณ ชินวัตร ย่อมมองเห็นจุดอ่อนตรงนี้ เพราะอย่าลืมว่า คนที่ห่วงใยและสนใจปัญหาบ้านเมือง ย่อมเลือกผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ โดยไม่สนใจว่า “คุณจะลูกหรือญาติ ใครอีกต่อไป” สุดท้ายจึงมีชื่อนายเศรษฐา มาประกบเป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือ “ตัวจริง”

 

ส่วนที่นายอนุสรณ์ บอกว่า การปราศรัยดังกล่าว เป็นการนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนนั้น น.ส.นพวรรณ ย้ำว่า ทั้งหมดที่กล่าวไปนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานการวิเคราะห์ทางการเมือง ไม่ใช่เป็นการบิดเบือนใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะอย่างที่ทราบกันมาตลอดว่า “พรรคเพื่อไทย” มักทำอะไรที่คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ชอบให้คนอื่นคาดเดาและตีความไปต่าง ๆ นา ๆ ไม่เหมือนกับพรรคการเมืองปกติอื่น ๆ ยกตัวอย่าง การเปิดตัวนางสาวแพทองธาร เข้าสู่การเมือง เริ่มต้นด้วยการเข้ามาเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ไม่มีตำแหน่งทางการบริหารพรรค แต่กลับมีบทบาทและมีคนเกรงใจ เหนือกว่า หมอชลน่าน ศรีแก้ว ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเสียอีก จนมีคนกังขาว่า ใครเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงกันแน่

 

“ในฐานะที่เราเป็นนักการเมือง และอยู่ระหว่างการเลือกตั้ง การวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของพรรคการเมืองที่เป็นคู่แข่ง จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พรรคการเมืองทั่วไปกระทำกัน และขอยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นการหาเสียงใส่ร้าย หรือบิดเบือนใด ๆ ทั้งสิ้น” น.ส.นพวรรณ กล่าว

รายการใหม่จาก THE STATES TIMES X TV Direct

THE STATES TIMES ผนึก TV Direct แกะกล่องรายการใหม่ 'ถลกข่าว ถลกคน’ ถกทุกมิติเลือกตั้ง 66 แบบเฉพาะกิจช่วงก่อนปิดหีบ ชูคอนเซปต์ ชัดเจน!! เป็นกลาง!! เปิดปรากฎการณ์สังคมไทยยุคใหม่ที่คนไทย ‘ทุกคน-ทุกฟาก-ทุกฝั่ง’ ร่วม 'ถก' กันได้ ประเดิม EP แรกกับอดีต 2 ขั้วสุดต่าง ‘จตุพร พรหมพันธุ์’ และ ‘สุริยะใส กตะศิลา’ ดีเดย์ 15 เม.ย.นี้

 

12 เมษายน 2566 สำนักข่าวออนไลน์ THE STATES TIMES ร่วมกับ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI) เปิดตัวรายการ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ รายการถกข่าวสุดร้อนแรงในช่วงกระแสการเมือง/การเลือกตั้ง 2566 กำลังระอุ โดยได้สื่อมวลชนอาวุโสสุดเก๋าแห่งวงการ ‘คุณสำราญ รอดเพชร’ มาเป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมกับ EP แรก ที่ได้ 2 ผู้คร่ำหวอดทางการเมือง อดีตขั้วการเมืองที่ต่างกันสุดขีด แต่วันนี้ ทั้งคู่สามารถมานั่งถกกันได้ในฐานะ ‘คนไทย’ ที่จะมาช่วยเคลียร์หลากมิติการเมือง และการเลือกตั้ง 66 แบบอินไซด์ ภายใต้เหตุและผลสุดสร้างสรรค์

 

เริ่มจาก คุณจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน และอดีตแม่ทัพหลักของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แง้มประเด็นเล็ก ๆ แต่ก็ชวนให้ตามติดแบบทันควัน ไม่ว่าจะเป็น “จุดยืนพรรคเพื่อไทยกับพลังประชารัฐ ทักษิณกับบิ๊กป้อม” หรือแม้แต่ "ลุงป้อม ผู้ส่งท่าทีก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่วันนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น ส่วน 'ลุงตู่' ที่บอกเพลียงพล้ำ ตอนนี้อาจพลิกจากแพ้เป็นผู้กำชัย เพราะจุดยืนชัดเจน และการลงมาสู่สนามการเมืองของ ‘อุ๊งอิ๊ง’ อาจทำให้เกมเพื่อไทยเปลี่ยน" เป็นต้น

 

ส่วนแขกรับเชิญอีกท่านอย่าง ศ.ดร. สุริยะใส กตะศิลา คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ก็แง้มปมถกที่ดุเดือดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น “ทิศทางการเลือกตั้งหนนี้ ที่เชื่อว่าจะใช้เงินจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดทุจริตที่มากในอนาคต หรือแม้แต่หลายพรรคต่างเร่งออกนโยบายประชานิยม ซึ่งเป็นนโยบายที่น่ากลัว เพราะจะมีผลกระทบโยงไปยังเงินคงคลัง และงบประมาณของประเทศ” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหัวข้อถกเถียงเรียกน้ำย่อย ที่รอคอยคอการเมืองมาร่วมตามติด แบบไม่ควรพลาด!!

 

ด้าน นายณัฐภูมิ รัฐชยากร Chief Operating Officer THE STATES TIMES กล่าวถึงความร่วมมือผลิตรายการ ‘ถลกข่าว’ กับทาง TV Direct ในครั้งนี้ ว่า จุดเริ่มต้นในการทำรายการ มาจากข้อสงสัยในประเด็นทางการเมืองมากมายที่สังคมและประชาชนทั่วไปต้องการคำตอบ แต่ยังหามุมมองวิเคราะห์และกลั่นกรองอย่างมีชั้นเชิงให้กับสังคมได้ไม่มาก ขณะเดียวกันนักการเมืองจากพรรคต่าง ๆ มีทั้งที่คุ้นตาและไม่คุ้นชิน โดยเฉพาะนักการเมืองหน้าใหม่ ย่อมต้องการพื้นที่แสดงออกทางความคิด หรือ นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้ ‘ถลกข่าว’ ต้องเกิดขึ้นมาในช่วงจังหวะนี้

 

สำหรับแผนการผลิต ‘ถลกข่าว’ ในเบื้องต้นนั้น นายณัฐภูมิ กล่าวว่า จะนำเสนอทั้งหมดจำนวน 30 EP ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 2566 และถ้าหากรายการได้รับการตอบรับดี หรือ มีแนวโน้มที่จะเป็นอีกกระบอกเสียงให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมวงกว้างได้ ทั้งสองบริษัทฯ ก็จะพิจารณาขยายการผลิต และออกอากาศผ่านช่องทางในเครือทั้งสองต่อไป

 

สนใจรับชม ‘ถลกข่าว’ แบบสด ๆ พร้อมกันทั่วประเทศ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 18.00 - 19.00 น. กับ 'ถลกข่าว ถลกปัญหา' โดย หยก สถาพร บุญนาจเสวี ที่จะหยิบปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องประชาชนมาถกแบบรอบทิศ และ ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 18.00 - 19.00 น. กับ 'ถลกข่าว ถลกคน' โดย สำราญ รอดเพชร ที่จะพาทุกคนไปร่วมถกทุกมิติการเมืองและการเลือกตั้ง 2566 แบบสุดเคลียร์

 

อย่าพลาด!! 15 เมษายนนี้ ประเดิม 'ถก' ทุกข้อข้องใจทางการเมืองและวิเคราะห์เลือกตั้ง 66 แบบสุดเคลียร์ กับ ‘ถลกข่าว ถลกคน’ EP แรก ผ่านทุกช่องทางออนไลน์ในเครือ THE STATES TIMES และ TV Direct ช่อง 76 (จานดาวเทียม PSI)

ปตท. ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV

วันที่ 10 เมษายน 2566 เวลา 09.30 น. ณ ห้องประชุม อาคาร 10 ชั้น 3 กรมการขนส่งทางบก นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก และ นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยผู้บริหารจากกรมขนส่งทางบกและ ปตท. ร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV

 

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกมุ่งมั่นในการรณรงค์และเสริมสร้างทัศนคติการตระหนักถึงความปลอดภัย รวมถึงยกระดับมาตรฐานในการตรวจสอบการใช้งานรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ตามนโยบายของ รัฐบาล กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบกได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ในโครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV กับ ปตท. เพื่อบูรณาการร่วมกันในการเชื่อมโยงข้อมูลการตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และข้อมูลที่อยู่ในความควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบก โดยการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อใช้ในการตรวจสอบรถ NGV ที่เข้ามารับบริการเติมก๊าซ NGV ในสถานีบริการ NGV ของ ปตท. ทั่วประเทศ เพื่อยกระดับมาตรฐานการตรวจสอบความปลอดภัยของผู้ใช้รถก๊าซ NGV

 

นายวุฒิกร สติฐิต ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้นและก๊าซธรรมชาติ ปตท. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ ปตท. จะได้นำเอาองค์ความรู้ ศักยภาพ และประสบการณ์ด้านก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) มาร่วมสนับสนุนในโครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV เพื่อเสริมสร้างทัศนคติการตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้งานรถ NGV และลดการเกิดอุบัติเหตุให้แก่ผู้ใช้รถ NGV และประชาชนทั่วประเทศ โดย ปตท. นำข้อมูลการตรวจและทดสอบรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดเป็นเชื้อเพลิง (NGV) และข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในความควบคุมดูแลของกรมการขนส่งทางบกนำมาตรวจสอบรถ NGV ที่เข้าเติมก๊าซธรรมชาติอัดในสถานีบริการ NGV ของ ปตท. ทั่วประเทศให้เกิดความปลอดภัยในการเติมก๊าซฯ รวมถึงนำส่งข้อมูลรถ NGV ที่มีสภาพไม่ปลอดภัยให้กับกรมการบนส่งทางบกเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลต่อ พร้อมทั้งการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของรถ NGV ที่ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก เช่น การออกตรวจรถ NGV ร่วมกัน นำมาพิจารณาให้รางวัลผู้ตรวจสภาพรถ NGV ที่ปฏิบัติงานดีเยี่ยมประจำปีต่อไป

 

“โครงการรณรงค์ความปลอดภัยรถ NGV” เป็นความร่วมมือระหว่างกรมการขนส่งทางบกกับ ปตท. เพื่อเสริมสร้างทัศนคติของผู้ขับขี่ให้ตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้งานรถ NGV ลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน และเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐ

 

ทั้งนี้ ภายหลังจากการลงนามฯ กรมการขนส่งทางบก และ ปตท. ได้จัดกิจกรรม “Safety Campaign” เป็นโครงการให้บริการตรวจเช็กอุปกรณ์และส่วนควบรถ NGV โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดปี 2566 รวมถึงการออกรณรงค์ความปลอดภัยทั่วประเทศตามแผนงาน ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่ออกตรวจตามสถานีบริการ NGV ร่วมกันระหว่าง ปตท. และ ขบ. และ แต่ละไตรมาสจะมีการออก PR ประชาสัมพันธ์ตาม Theme เช่น ไตรมาส 1 ออก PR ใน Theme “ไม่มี ไม่เติม Sticker นั้นสำคัญ” ในสถานีบริการ NGV จำนวน 244 แห่งทั่วประเทศ


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. South Time Thailand
Take Me Top