Friday, 29 March 2024
NEWSFEED

‘สุนทร รักษ์รงค์’ ว่าที่ผู้สมัคร พลังประชารัฐ เขต 8 นครศรีฯ ลุยหาเสียง ค่ำไหนนอนวัดที่นั่น

นายสุนทร รักษ์รงค์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครศรีธรรมราช เขต 8 นครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ได้เปิดศูนย์ประสานงานการเลือกตั้งเขต 8 เลขที่ 387/1 ม.10 ต.หลักช้าง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยมี พระครูสถิต กาญจน หรือ ท่านแบน เจ้าคณะอำเภอทุ่งใหญ่ (รักษาการเจ้าอาวาสวัดจันดี ) มาเจิมป้ายเปิดศูนย์ประสานงานเพื่อเป็นสิริมงคล และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ผู้สมัครบัญชีรายชื่ออันดับที่ 12 และแกนนำพรรคพรรคพลังประชารัฐ

 

นายสุนทร เปิดเผยว่า จะเดินหาเสียงแบบค่ำไหน นอนนั้นโดยใช้สโลแกนครั้งนี้ว่า “สุนทร นอนวัด” ช่วงเช้าจะเดินหาเสียงแบบเคาะประตูบ้านจนถึงค่ำ ค่ำที่ไหนไกล้วัดไหนก็จะนอนที่นั่น เพราะเคยเป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม เคยนอนบนถนนมาแล้ว คิดว่าการนอนวัดน่าจะสบายกว่า โดยจะนัดแนะชาวบ้านมาพูดคุยสะท้อนปัญหากันที่วัดเลย

 

สำหรับนายสุนทร เคยเป็นนายกสมาคมเกษตรกรชาวสวนยาง 16 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งในเขต 8 นั้นประกอบด้วย อ.ช้างกลาง อ.ฉวาง อ.พิปูน และ อ.นาบอน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวส่วนมากจะมีอาชีพทำสวนยาง

พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก ประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.ในฐานะ ผอ.กอนช. พร้อมคณะได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.เพชรบุรี

เมื่อ 31 มี.ค.66 ,11.30น. พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก ประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม.ในฐานะ ผอ.กอนช. พร้อมคณะได้เดินทางไปปฏิบัติราชการพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และจ.เพชรบุรี เพื่อติดตามการพัฒนาแหล่งน้ำ การบริหารจัดการน้ำ และการผลิตน้ำประปาคุณภาพ

 

โดยเมื่อ พล.อ.ประวิตรฯ เดินทางถึง วัดห้วยมงคล อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ ได้เข้าสักการะ องค์หลวงปู่ทวด และถวายสังฆทาน แด่เจ้าอาวาส เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนเดินทางไปยังอ่างเก็บน้ำห้วยมงคล อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ทับใต้ อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ และสำนักงานก่อสร้างชลประทานขนาดกลางที่ 14 เพื่อประชุมหารือร่วมกับ จังหวัด, สทนช., กรมชลประทาน และผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาค

.

โดยรับฟังการบรรยายสรุปภาพรวมการบริหารจัดการน้ำของจังหวัด ซึ่งมี ลำน้ำทั้งหมด 6 ลุ่มสาขา ปัจจุบันมีปริมาณน้ำ รวม 220 ล้าน ลบ.ม.ได้รับการสนับสนุนงป. จากรัฐบาล ปี 61-65 จำนวน 781 โครงการ, ปี65 จำนวน 13 โครงการ,ปี66 จำนวน 21 โครงการ, และโครงการสำคัญอีก 5 โครงการ สำหรับ อ่างเก็บน้ำห้วยมงคลฯ ก่อสร้างเพื่อเก็บกักน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และบรรเทาความเดือดร้อนจากอุทกภัย ช่วงฤดูน้ำหลาก มีความจุอ่างฯ 5.85 ล้าน ลบ.ม.

 

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบายที่สำคัญ โดยกำชับ สทนช. ให้เร่งรัดการดำเนินงานตาม 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง พร้อมย้ำให้ กรมชลประทาน เร่งบริหารจัดการแหล่งเก็บน้ำให้มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการใช้น้ำ ให้เพียงพอทุกพื้นที่ รวมทั้ง เพิ่มประสิทธิภาพระบบประปา ต้องผลิตน้ำที่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพ สำหรับบริการประชาชนและนักท่องเที่ยว ด้วย

 

ต่อมา พล.อ.ประวิตร ได้พบปะกับพี่น้องประชาชนที่มาให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่นและรับฟังข้อเรียกร้อง/ข้อคิดเห็น อย่างเป็นกันเอง เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาให้สอดคล้อง ตรงตามความต้องการของประชาชน ต่อไป

 

ซึ่งได้มีชาวบ้านสะท้อนความรู้สึก และกล่าวขอบคุณ พล.อ.ประวิตร กับ รัฐบาล ที่มีความจริงใจ ทุ่มเทแก้ปัญหาน้ำ และอื่นๆ อย่างได้ผล และรวดเร็ว สามารถลดความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

 

ทำให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากในปัจจุบัน พร้อมยังได้กล่าวสนับสนุนลุงป้อม อยากให้เป็นนายกฯ คนต่อไปด้วย จากนั้น พล.ประวิตร และคณะได้เดินทางไปตรวจราชการต่อในพื้นที่ จ.เพชรบุรี

 

ทางกรรมการบริหารพรรคได้รับรองรายชื่อแล้ว

เมื่อวันที่ 30 มี.ค.66 พรรคประชาชาติมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติเป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยแกนนำพรรค เช่น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ , นายวรวีร์ มะกูดี รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ , นายมุข สุไลมาน รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ , นายวิทยา เจนพาณิชพงศ์ รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ และกรรมการบริหารพรรคอีกหลายคน

 

ซึ่งที่ประชุมได้รับรองรายชื่อผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 19 คน และแบบบัญชีรายชื่อ 77 คน ซึ่งได้ผ่านขั้นตอนการทำไพรมารี่โหวตจากศูนย์อำนวยการเลือกตั้งแต่ละจังหวัดมาแล้ว

 

โดยการเลือกตั้งคราวนี้พรรคประชาชาติจะไม่ส่งผู้สมัครเลือกตั้งในภาคอื่นๆ แต่จะเน้นส่งผู้สมัครเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างเท่านั้น ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญ และถือว่าพรรคประชาชาติเป็นแชมป์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 พรรคประชาชาติได้รับเลือกตั้ง ส.ส. 6 เขต จาก 11 เขต ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นเสียงข้างมากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการเลือกตั้งคราวนี้หวังต้องชนะการเลือกตั้งทุกเขตที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งประกอบด้วย

 

จ.ปัตตานี ⬇️⬇️⬇️

 

เขต 1 ผศ.ดร.วรวิทย์ บารู

เขต 2 นายมูฮำมัดอารีฟีน จะปะกิยา

เขต 3 นายสมมุติ เบ็ญจลักษณ์

เขต 4 ว่าที่ ร.ต.โมฮามัดยาสรี ยูซง

เขต 5 นายสาเหะมูหามัด อัลอิดรุส

 

จ.ยะลา ⬇️⬇️⬇️

  

เขต 1 นายสุไลมาน บือแนปีแน

เขต 2 นายซูการ์โน มะทา

เขต 3 ดร.อับดุลอายี สาแม็ง

 

จ.นราธิวาส ⬇️⬇️⬇️

 

เขต 1 นายอัฟฟาน หะยียูโซ๊ะ

เขต 2 นายเจ๊ะซู ตาเหย็บ

เขต 3 นายมูฮัมหมัดรอมือลี อาแซ

เขต 4 นายกูเฮง ยาวอหะซัน

เขต 5 นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ

 

จ.สงขลา ⬇️⬇️⬇️

 

เขต 7 นายอับดุลเราะมัน มอลอ

เขต 8 ดร.มังโสด หมะเต๊ะ

 

จ.สตูล ⬇️⬇️⬇️

 

เขต 1 นายรมย์ศรี กะด๊ะ

เขต 2 นายไพศาล หลีเส็น

 

จ.นครศรีธรรมราช ⬇️⬇️⬇️

 

เขต 2 นายอุดร น้อยทับทิม

 

จ.สุราษฎร์ธานี ⬇️⬇️⬇️

 

เขต 7 นายมนตรี เพชรขุ้ม

 

ซึ่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบแบ่งเขตของพรรคประชาชาติ เตรียมไปลงสมัครรับเลือกตั้งในระหว่างวันที่ 3-7 เมษายน 2566 นี้ ส่วนผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคประชาชาติ จำนวน 77 คนนั้น ทางกรรมการบริหารพรรคได้รับรองรายชื่อแล้ว

 

แต่ยังไม่มีการจัดอันดับว่าใครจะได้อยู่ในอับดันที่เท่าใด นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือเรื่องการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งพรรคการเมืองสามารถเสนอชื่อได้พรรคละไม่เกิน 3 คน โดยที่ประชุมเห็นควรเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 2 คน คือนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา และ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง

 

พปชร. เปิดขุนพล 400 เขต ชูนโยบายแก้ไขปัญหาปากท้อง ฟื้นเศรษฐกิจไทย ทำได้ทันดี

วันที่ 30 มีนาคม 2566  พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารพรรค อาทิ นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค,นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค,นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมดูแลการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.และแกนนำภาคร่วมงานพร้อมเพรียง และคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านต่าง ๆ  จัดกิจกรรม “เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต ทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัครสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมเปิดนโยบายพรรคพลังประชารัฐ”  ร่วมกับว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. 400 เขตทั่วประเทศ และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่จะนำนโยบายของพรรคที่จะเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ผ่านกลไกนโยบายที่พรรคจะนำเสนอ ทั้งทางด้านสวัสดิการประชารัฐ สังคมประชารัฐ และเศรษฐกิจประชารัฐ ที่มีเป้าหมายให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน  มั่นใจได้ว่าทุกนโยบายพร้อมทำได้ทันทีเมื่อได้เป็นรัฐบาล  ที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตครอบคลุมทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ได้มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่ยั่งยืน

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวบนเวทีว่า สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านวันนี้ ผมรู้สึก อบอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง การเลือกตั้งในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะเข้ามารับใช้ประชาชน ผมอยากจะสื่อสารให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทราบว่าคนไทยทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติ ที่ผ่านมา ประเทศของเราพัฒนาได้ยาก เพราะความขัดแย้ง และความแตกแยก ผมจึงขอเชิญชวนทุกท่านร่วมใจกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยความรัก ความเข้าใจเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกันและกัน

"ผมพร้อม ที่จะประสานประโยชน์ กับทุกฝ่ายพร้อมที่จะนำ ความรัก ความสามัคคีมาสู่ ประเทศชาติ ของเราคนไทย ต้องรักกันสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรืองให้กับ ประเทศชาติ และประชาชน เมื่อเราก้าวข้ามความขัดแย้งได้เราก็จะมีพลัง ที่จะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน"

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พี่น้องครับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของท่านทั้งหลายที่จะให้พรรคใดมาบริหารประเทศ พรรคพลังประชารัฐได้นำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมายดังที่ได้รับชมในวีดิทัศน์ไป เมื่อสักครู่นี้แล้ว ทีมเศรษฐกิจของเราคิดไว้มากมาย การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าเราได้คะแนนมาเป็นที่หนึ่งจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ทันที ขับเคลื่อนนโยบายที่ทำไว้ ทั้งนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ต่อเดือน การลดราคาน้ำมัน ลดราคาแก๊สและลดค่าไฟฟ้า การดูแลคนไทยทุกช่วงวัย ทั้งเบี้ยประชาชน ผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป มารดาที่ตั้งท้องตั้งแต่เดือนที่ 5 จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายจนถึงวันคลอดและดูแล ทารกหลังคลอด จนถึง 6 ขวบ นโยบายในเรื่องน้ำ มีเราต้องไม่มีแล้ง โดยจะพัฒนาแหล่งน้ำ ระบบชลประทานแก้ปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง น้ำอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อการเกษตรส่งเสริม ตนยืนยันว่ามีเราจะไม่มีแล้งอีกต่อไป ส่งเสริมสิทธิที่ดินทำกิน  มีเราต้องมีที่ดินทำกิน ถ้ามีที่ทำกินไม่มีจน จะก้าวข้ามความยากจนได้ เราจะแก้ปัญหาความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ยกระดับ การศึกษา เศรษฐกิจฐานรากภาคอุตสาหกรรม การคมนาคมและนโยบายอื่น ๆ อีกมากมาย

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า การแก้ปัญหายาเสพติด ทั้งการป้องกันปราบปรามและบำบัดฟื้นฟูอย่างจริงจังเราจะปราบปรามผู้มีอิทธิพล อาชญากรรมข้ามชาติการฉ้อโกงออนไลน์ แชร์ลูกโซ่ และหนี้นอกระบบ เราจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราคือครอบครัวเดียวกัน เราจะรักสามัคคีกันเป็นหนึ่งเดียว 

“ขอให้เชื่อมั่นผม เชื่อมั่นในพรรคพลังประชารัฐ และผู้สมัครฯ ทั้ง 400 เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยืนอยู่ตรงนี้ ผมขอประกาศกับพี่น้องประชาชนทั่วประเทศว่าพวกเราทำได้ และพร้อมแล้วที่จะรับใช้ประชาชน พี่น้องครับวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. นี้โปรดกาบัตรเลือกพลังประชารัฐ ทั้ง 2 ใบ เลือกทั้งคน เลือกทั้งพรรค เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน”พล.อ.ประวิตร กล่าว

นอกจากนี้ ภายในงานพรรคพลังประชารัฐ ได้นำเสนอคลิปวิดีโอเกี่ยวกับนโยบายที่จะมุ่งฟื้นเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาครบทุกมิติให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วย “นโยบาย 3 เร่งด่วน 8 เร่งรัด” โดย “3 นโยบายเร่งด่วน”ประกอบด้วย 1. แก้หนี้ประชาชน ผู้ประกอบการ ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนด้วยวิธีใหม่ ควบคู่สร้างโอกาสใหม่ โดยทำทันที  2. ดูแลสวัสดิการ เสริมทักษะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  3. การยกระดับคุณภาพชีวิตทุกช่วงวัย 

และ “8 นโยบายเร่งรัด” วางรากฐานเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1. ยกระดับเศรษฐกิจฐานราก ส่งเสริมภาคการเกษตร วิสาหกิจชุมชนเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว 2. ยกเครื่องภาคอุตสาหกรรมเดิม สู่เศรษฐกิจใหม่ในอุตสาหกรรม S-curve เพื่อขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG  3. เร่งพัฒนาพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์  ทั้ง อีอีซี และขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ใหม่  4. ยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทุกระบบทั้งถนน ราง น้ำ และอากาศ รวมถึงพัฒนาโครงเครือข่าย 5G ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ การต่อยอดพร้อมเพย์ และเป๋าตังค์ ให้คนไทยเข้าสู่ Digital Economy อย่างแท้จริง 5. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์รองรับอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้งระดับปวช. ปวส. ให้เรียนฟรีมีงานทำ พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมแหล่งงาน เพื่อสร้างรายได้ระหว่างเรียน ส่วนแรงงานเดิมจะส่งเสริมเข้าโปรแกรมเพิ่มทักษะให้สอดรับกับอุตสาหกรรมสมัยใหม่  6. ปฎิรูประบบราชการ แก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรค เพื่อส่งเสริมให้เกิดเอสเอ็มอีที่มีความเข้มแข็ง 7. ปฏิรูประบบงบประมาณ กระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น สู่การพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อเข้าสู่งบประมาณสมดุลในระยะยาว เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ที่ตอบสนองความต้องการของพื้นที่ได้อย่างตรงจุด  และ 8. ต่อต้านคอร์รัปชั่นเต็มรูปแบบ สร้างระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ลดการใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ เพิ่มโทษนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชันเป็นสองเท่า รวมถึงมีเทคโนโลยีบล็อคเชนที่จะนำมาใช้ในโครงการประมูลภาครัฐขนาดใหญ่

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานได้มีประชาชนที่เดินทางมาจากทุกภาคและในกทม.เต็มความจุอัฒจันทร์ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ต่างเดินทักทาย และถ่ายรูปกับประชาชนที่ถือป้ายไฟส่งเสียงต้อนรับว่าที่ผู้สมัครอย่างสนุกสนาน นอกจากนี้ยังมีศิลปินดารา กลุ่มนางงาม,นายแบบ,อินฟลูเอนเซอร์จากหลากหลายอาชีพ ,LGBTQ,กลุ่มนักแข่งเกมส์ อีสปอร์ต มาร่วมรับฟังนโยบายของพรรค พปชร.ด้วย

นายเทพไท เสนพงศ์ ลงสมัครในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ

วันที่ 29 มี.ค.2566 - หลังผ่านการรับรองการทำไพรมารีโหวตจากสมาชิกพรรคชาติพัฒนากล้า เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา นายหัวสิทธิ์ สิทธิรัก ทิพย์อักษร อดีตว่าที่ผู้สมัครพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ถือว่าเป็นดาวรุ่งมาแรงในพื้นที่เขต 4 ชะอวด เชียรใหญ่ เฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช แต่กลับถูกเกมการเมืองในพรรคซึ่งมีมติส่งนายพงศ์สินธุ์ เสนพงศ์ ตัวแทนของนายเทพไท เสนพงศ์ ลงสมัครในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ในเขตนี้

 

แต่นายสิทธิรัก ก็สามารถผ่านการยอมรับจากพรรคชาติพัฒนากล้าส่งเป็นตัวแทนลงสมัครในพื้นที่เขต4 อย่างทันทีทันควัน และได้ทำการปลดป้ายสัญญลักษณ์ของพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกจากศูนย์ประสานงาน เลขที่ 52 ถ.วุฒิราษฎร์รังสฤษฎ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช และเตรียมขึ้นป้ายสัญญลักษณ์พรรคชาติพัฒนากล้าแทนหลังจากผ่านไพรมารีโหวตให้เป็นตัวแทนพรรคในเขต4

 

นายสิทธิรัก กล่าวว่า หลังจากเปลี่ยนพรรคที่สังกัดจากเดิมมาเป็นพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งมีนายกรณ์ จาติกวนิช เป็นหัวหน้าพรรคและเคยมีประสบการณ์เป็นรัฐมนตรีคลัง ที่ได้รับการยกย่องจากนานาชาติให้เป็นรัฐมนตรีคลังโลก จากการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชาติในช่วงวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์จนประเทศไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

 

อีกทั้งนโยบายเศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาปากท้องของพรรคด้วยแนวคิดเศรษฐกิจเฉดสีที่สามารถทำได้จริง เห็นผลได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเลือกทำรายได้จากนวัตกรรมทางเทคโนโลยีการสื่อสารหรือจากภูมิปัญญาจากทัองถิ่นและคนตัวเล็กตัวน้อยสามารถนำไปลงมือทำได้โดยไม่ต้องร้องขอหรือยืนยันตัวตนอะไร

 

"ผู้สนับสนุนผมและพรรคชาติพัฒนากล้าจะได้รับการถ่ายทอดวิชาสร้างตัวแบบใหม่ที่สามารถลงมือได้จริง ขอให้ติดตามที่เพจนายหัวสิทธิ์ สิทธิรัก ทิพย์อักษร ได้เลยครับ แม้จะไม่ได้อยู่ในเขตเลือกตั้งก็ไม่เป็นไร เพราะแนวคิดของตัวเองที่อาสามาทำงานการเมืองก็เพื่อแทนคุณแผ่นดินด้วยความสำนึกรักบ้านเกิด ซึ่งบ้านเกิดของผมคือแผ่นดินไทยจ" นายสิทธิรัก กล่าว

 

"ชัยวุฒิ" ขอไม่โต้ "ทักษิณ" หลังทวิตถึงบิ๊กป้อม เผยขอก้าวข้ามความขัดแย้ง

วันที่ 28 มี.ค.66 พรรคพลังประชารัฐ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีออกมาตอบโต้นายวิรัช รัตนเศรษฐ ผ่านทวิตเตอร์ว่า พรรคเพื่อไทยไม่โง่พอที่จะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐว่า พปชร.มีนโยบายก้าวข้ามความขัดแย้งและไม่ขัดแย้งกับทุกพรรค จึงไม่อยากตอบโต้เรื่องนี้ ซึ่งการทำงานในทางการเมืองมันก็ทำงานตามสถานการณ์ บางครั้งไม่ได้ฉลาดทุกครั้ง ต้องมีบางเรื่องที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน 

 

เมื่อถามว่า มองว่าการปรามาสครั้งนี้ ให้รอวันที่ผลการเลือกตั้งออกเลยใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิกล่าวว่า การเลือกตั้งเป็นเรื่องของประชาชน ยืนยันว่า แต่ละพรรคต่อสู้กันเต็มที่ เสนอนโยบายและลงพื้นที่เข้าหาพี่น้องประชาชน ผู้สมัครแต่ละเขต แข่งกันเต็มที่ไม่มีการจับมือกัน หรือ ตกลงกันว่า ใครจะเป็นรัฐบาลหรือเป็นนายกรัฐมนตรี ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบประชาธิปไตย 

 

เมื่อถามว่า แสดงว่าไม่ปฏิเสธที่จะจับมือร่วมรัฐบาลกับใครใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิกล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐก้าวข้ามความขัดแย้ง ฉะนั้นไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องขัดแย้งกัน อะไรที่เป็นประโยชน์หรือประชาชนยอมรับเราเราก็ทำงานร่วมกันได้อะไรที่เป็นความขัดแย้งหรือเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ก้าวข้ามไป 

 

เมื่อถามว่า การที่อีกฝั่งพยายามปราศรัยว่า ไม่พร้อมจับมือเพราะกลัวเสียคะแนนใช่หรือไม่ นายชัยวุฒิกล่าวว่า ไปถามอีกฝั่งจะดีกว่า แต่ละพรรคก็มีแนวคิดและนโยบาย จะมาตอบแทนกันไม่ได้ แต่สำหรับพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ขัดแย้งกับใคร และพลเอกประวิตรมีความประนีประนอมสูง มีเหตุมีผล อย่าเอาเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง หรือการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่บรรยากาศในขณะนี้ และเรานำเสนอนโยบายให้ประชาชน เสนอตัวผู้สมัครที่ประชาชนชอบ เอาคนเก่งๆ มาทำงานร่วมกัน ถ้าทุกคนตั้งใจทำความดีหรือได้คนดีๆ มาทำงานประเทศชาติก็เดินหน้าไปได้ หากมัวแต่แบ่งฝ่ายหรือทะเลาะกันประชาชนจะอยู่อย่างไรหมดเวลาทะเลาะกันแล้ว

 

ส่วนเรื่องโพลต่างๆ ยืนยันว่า ตนไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะหลายโพลก็ไม่ได้มีชื่อพลเอกประวิตร ในส่วนของพรรคประชารัฐมีการทำโพลอยู่ ก็มีคะแนนพอสมควรแต่ก็ไม่ถือว่าเป็นอันดับต้นๆ พลเอกประวิตร ต้องใช้เวลาในการหาเสียงอยู่ แต่ก็มีคะแนนนิยมพอสมควร และถึงไม่เป็นนายกในโพล ก็เป็นนายกในใจของประชาชนทุกคนอยู่แล้ว คงไม่ต้องปรับกลยุทธ์อะไรเราก็ทำของเราให้ดีที่สุด

“ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ”

วันที่ 27 มี.ค.2566 - นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ภาคใต้ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายในการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อัดงบลงพื้นที่ภาคใต้เป็นจำนวนกว่า 250,000 ล้านบาท

 

เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและแหล่งน้ำ นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายโครงการที่พรรครวมไทยสร้างชาติเล็งเห็นว่า จะต้องทำต่อเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ตามนโยบาย “ทำแล้ว ทำอยู่ ทำต่อ” โดยจะเดินหน้าสานต่อนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งมีผู้ใช้สิทธิจำนวน 14.6 ล้านคน เป็นบัตรสวัสดิการพลัสเพิ่มเงินเป็น 1,000 บาท การปล่อยกู้ฉุกเฉิน 10,000 บาท เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาท กองทุนฉุกเฉินประชาชน 30,000 ล้านบาท เพื่อช่วยประชาชนที่ลำบากลดเงื่อนไขการปล่อยกู้

  

ทั้งนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติจะสานงานต่อทางด้านการท่องเที่ยว จากตัวเลขภาพรวมนักท่องเที่ยวของไทย ปี 2565 มีนักท่องเที่ยว 11 ล้านคน มีการตั้งเป้าว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยว 27.5 ล้านคน สร้างรายได้ 2.33 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการทำงานอย่างหนักของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ทำให้ประเทศก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 มาได้จนทำให้นักท่องเที่ยวเกิดความเชื่อมั่นและกลับมาท่องเที่ยวในไทย

 

ซึ่งการกลับมาของนักท่องเที่ยวจะช่วยกระจายเม็ดเงินสู่ชุมชน เกิดการสร้างอาชีพผลิตภัณฑ์ชุมชนที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ภาคใต้ การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเป็นระบบจะทำให้ผลิตภัณฑ์ชุมชนมีราคาดีขึ้น

 

นายธนกร กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังต้องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม อาทิ แผนพัฒนาแลนด์บริดจ์เชื่อมภาคใต้ เพื่อลดระยะเวลาในการเดินทางและขนส่ง ซึ่งรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ได้มีการศึกษาโครงการดังกล่าวมาแล้วทั้งการพัฒนาท่าเรือจังหวัดระนองและท่าเรือชุมพร รวมถึงการสร้างมอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ แต่ทั้งหมดจะต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของชาวบ้านในพื้นที่ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและจุดคุ้มทุนทางเศรษฐกิจ ซึ่งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะเชื่อมโยงการพัฒนาด้านการเกษตรในพื้นที่ด้วยเรื่องการกระจายผลผลิตและสินค้าทางการเกษตร และพรรครวมไทยสร้างชาติยังพร้อมผลักดันนโยบายการพยุงราคาสินค้าเกษตรเพื่อช่วยเกษตรกร

 

นายธนกร กล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ยังมีโอกาสเติบโต เนื่องจากมีศักยภาพในหลายด้านรวมถึงการทำอุตสาหกรรมส่งออกอาหารฮาลาล ที่ปัจจุบันไทยส่งออกเป็นอันดับ 13 ของโลก หากพรรครวมไทยสร้างได้เข้ามาบริหารประเทศ ก็พร้อมที่จะส่งเสริมธุรกิจอาหารฮาลาลในตลาดโลกให้เติบโตมากขึ้น จึงอยากให้พี่น้องประชาชนมั่นใจว่า นโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นนโยบายที่ทำได้จริง และรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ ก็ทำสำเร็จมาแล้ว

 

ดังนั้น ในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค.นี้ พี่น้องประชาชนที่รักลุงตู่ ต้องออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และเลือกทั้งคนทั้งพรรค เพื่อให้พลเอกประยุทธ์ได้กลับมาบริหารประเทศทำตามนโยบายที่พรรครวมไทยสร้างชาติหาเสียงไว้เพื่อพัฒนาประเทศและช่วยดูแลพี่น้องประชาชน

 

โดยการเลือกตั้งภาคใต้มั่นใจว่า จะสามารถพาผู้สมัคร ส.ส.เข้าสู่สภาฯได้ไม่ต่ำกว่า 25 ที่นั่งจากทั้งหมด 60 ที่นั่งเพราะพรรคได้ผู้สมัครที่มีศักยภาพใกล้ชิดประชาชน อีกทั้งพรรคมีนโยบายที่ดีตอบโจทย์ประชาชน ที่สำคัญคนใต้รักพลเอกประยุทธ์

 

นายชัยวุฒิกล่าว

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ที่ลานตลาดนัดวันอาทิตย์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้กล่าวปราศรัยบนเวทีของพรรค พปชร.ว่า บางคน บางพรรคยังพูดถึงโครงการเก่าในอดีต

 

โดยไม่ดูบริบทการเมือง เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ผมลงพื้นที่สงสารพี่น้องประชาชน บางพรรคยังพูดถึงกองทุนหมู่บ้านนโยบายเมื่อ 20 ปีที่แล้วซึ่งที่ตนเองได้ลงพื้นที่นั้น ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันมากจากกองทุนหมู่บ้าน พรรค พปชร.จะยกเลิกกองทุนหมู่บ้าน ประชาชนจะได้ไม่ต้องเป็นหนี้

 

นายชัยวุฒิกล่าวต่อว่า เพราะเป็นกองทุนที่สร้างหนี้ให้กับประชาชน จะได้ไม่ต้องสร้างหนี้ให้กับประชาชน เราต้องมองอนาคต ต้องมองนโยบายของพรรคการเมืองที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ พร้อมมองว่ามีบางพรรคการเมืองได้คิดนโยบายที่ไกลเกินไป การเลือกตั้งนั้นให้มาเปลี่ยนรัฐบาล แต่อยากเปลี่ยนประเทศไทย คุณทำได้ไหม

 

“ถ้าคนเราเห็นว่าโลกที่เราอยู่มันไม่ดีและมีปัญหาแล้วอยากเปลี่ยนโลกนั้น มีแต่คนบ้าเท่านั้นเพราะโลกเปลี่ยนไม่ได้ แต่ทำให้โลกนี้ดีได้ โดยการตั้งใจทำความดี ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง แต่บางพรรคคิดไกลกว่านั้น ไกลแบบที่รู้ว่าคิดอะไร ไม่อยากเปลี่ยนรัฐบาล อยากเปลี่ยนอะไรวะ แล้วเรายอมให้มันเปลี่ยนไหม เขาปลุกระดม ให้ข้อมูลผิดๆ ทำให้คนแตกแยก ทะเลาะกัน ซึ่งนี่คือนโยบายสำคัญของพรรคพลังประชารัฐที่จะมาก้าวข้ามความขัดแย้ง” นายชัยวุฒิกล่าว

 

นายชัยวุฒิกล่าวด้วยว่า วันนี้ติดตามจากสื่อเห็นว่าโพลต่างๆ ไม่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าลืมใส่ หรือลุงป้อมไม่ได้จ่ายเงิน การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพวกเรา

 

เพราะเรามีนโยบาย มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน และเขาก็จะผลักดันให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนำนโยบายต่างๆ มาทำประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่มีการสืบทอดอำนาจ ไม่มีการเอาเปรียบใคร ทุกอย่างเป็นไปตามประชาธิปไตย

 

คนใต้ต้องรวย !

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2566 ที่ จ.สงขลา นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า เข้าร่วมเวทีดีเบท “อนาคตประเทศไทย” โดยมี 4 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จ.สงขลา ได้แก่ นายจูรี นุ่มแก้ว, นายกัณฑ์ นวกัณฑ์, รศ.ดร.ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ และนายพงศธร สุวรรณรักษา ร่วมให้กำลังใจ พร้อมด้วยกองเชียร์มาร่วมฟังการแสดงวิสัยทัศน์กันอย่างคึกคัก ซึ่งแม้ว่าจะมาจากต่างพรรคการเมือง แต่ส่วนใหญ่มาทักทาย และรุมขอถ่ายรูปกับ จูรี ขวัญใจคนใต้กันอย่างเนืองแน่น

 

โดยนายกรณ์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า โดยส่วนตัวมีความรักผูกพันกับพี่น้องชาว จ.สงขลา และเพิ่งเข้าร่วมกิจกรรมว่ายน้ำข้ามทะเลสาบสงขลาไปเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการว่ายต่อเนื่องเป็นปีที่สอง เพื่อร่วมกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ จ.สงขลา ทั้งนี้เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของพรรคชาติพัฒนากล้า เรามียุทธศาสตร์สำคัญที่จะทำให้คนใต้ทุกคนมีโอกาสร่ำรวยเหมือนคนที่ชื่อ จูรี นุ่มแก้ว ดาวติ๊กต่อก ภาคใต้ หนึ่งในว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา ที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้แทนของพี่น้องประชาชน คุณสมบัติเด่นของ จูรี คือ รอยยิ้ม ยิ้มได้เพราะ ได้ทำงานที่ดี มีเงินในกระเป๋า มีรายได้เพียงพอ ต่อราคาสินค้าที่สูงขึ้นทุกวัน พรรคชาติพัฒนากล้าจะมาเติมรอยยิ้มให้พี่น้องชาวใต้ทุกคน ด้วยการสร้างโอกาสดี มีงานดี มีเงินในกระเป๋า ราคาสินค้าต้องไม่แพง

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากรอยยิ้มแล้ว คุณสมบัติอีกอย่างของจูรี ที่พี่น้องชาวใต้ชื่นชอบ คือการลงมือทำจริง ในช่วงที่เขาเรียนหนังสือ ขณะนั้นครอบครัวมีฐานะยากจน จูรีต้องแบกกระสอบข้าวสารในตอนกลางวัน และช่วงค่ำมาทำงานที่เซเว่น เพื่อหาเงินส่งตัวเองเรียนหนังสือ แต่หลังจากที่เขามีโอกาส สร้างรายได้หลายสิบล้าน แต่เมื่อคิดจะซื้อบ้านให้คุณแม่อุไร (นุ่มแก้ว) ธนาคารกลับไม่อนุมัติ เพราะเขาติดแบล็กลิสต์ในช่วงโควิด แม้ตอนนี้ชำระหนี้หมดแล้ว ก็ยังต้องติดอยู่ในระบบอีก 3 ปี ถึงจะหลุด เรื่องนี้เป็นปัญหาที่พรรคชาติพัฒนากล้าประกาศชัดว่า ต้องแก้ปัญหาให้กับพี่น้องคนไทยทั่วประเทศ ให้มีโอกาสกู้ยืมเงิน ในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ไม่ต้องพึ่งหนี้นอกระบบเหมือนกับที่จูรีต้องทำ

 

นอกจากนี้ คุณสมบัติอีกอย่างของจูรี คือเขาเป็นคนชอบวิ่ง ในทุกคลิปที่จูรีผลิตออกมาส่วนใหญ่จะเริ่มจากการวิ่ง ซึ่งเราก็บอกเขาว่า ถ้าต้องวิ่งขอให้วิ่งบนผิวถนนที่เรียบ เพราะคุณภาพถนนของ หาดใหญ่ มีปัญหามายาวนานมาก เราจะเพิ่มรายได้ให้กับการท้องถิ่นทั่วประเทศ มีโอกาสเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ใช้เอง เพื่อพัฒนาพื้นที่ของตัวเองมากขึ้นอีกเท่าตัว เรามีนโยบายสร้างมอเตอร์เวย์ทั่วประเทศ สายใต้ต้องมีแน่นอน และนอกจากนั้น เรื่องง่าย ๆ อย่างเช่น การพัฒนาระบบราง รถไฟบัตเตอร์เวิร์ท มาปาดังเบซา ต้องมีรถวิ่งถึงหาดใหญ่ สงขลา ทั้งหมดนี้คือชุดความคิดของพรรคชาติพัฒนากล้าที่เราคิดมาเพื่อคน จ.สงขลา

 

หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึง แนวทางการยกระดับผลิตภัณฑ์และส่งเสริมการท่องเที่ยว ว่า 3 ข้อที่พรรคชาติพัฒนากล้าจะนำเสนอเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคือ

 

1. ปลดกฎหมายการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เพิ่มโอกาสและช่องทางการขายสุราท้องถิ่นไปตลาดทั่วประเทศและตลาดโลก

2. ช่วยเกษตรเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งตนมีประสบการณ์ในการทำงานกับพี่น้องชาวนา จ.มหาสารคาม เพิ่มมูลค่าข้าวหอมมะลิ จนประสบความสำเร็จ

3. แนะนำช่องทางโอกาส โดยเฉพาะตลาดออนไลน์ ในการขายสินค้าชุมชนของพี่น้องประชาชน และคนที่จะแนะนำเรื่องนี้ได้ดีที่สุดคือ จูรี ที่ประสบความสำเร็จจากการขายออนไลน์ ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ให้เข้าสู่ตลาดและเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย

สืบสานประเพณีลาซัง

ที่แปลงนาข้าว ตำบลมะรือโบตก อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส /ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เดินทางมาเป็นประธาน เปิดกิจกรรม พหุวัฒนธรรม ”ลงแขกเกี่ยวข้าว” สืบสานประเพณีลาซังรักษ์วิถีถิ่น ร่วมกินข้าวใหม่ บนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เสริมสร้างสัมพันธภาพพี่น้องชายแดนใต้ โดยมี พันเอก ทวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอระแงะ นายอำเภอระแงะ ประธานองค์กรภาคประชาชนเพื่อสันติและเศรษฐกิจพอเพียงจังหวัดนราธิวาส กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำศาสนา หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจน พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่ และพี่น้องประชาชนไทยพุทธ ไทยมุสลิม เข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก

 

ทั้งนี้ พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว กล่าวว่า พื้นที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เป็นแหล่งปลูกข้าวของจังหวัด ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ มีการปลูกสืบทอดกันจนเป็นวิถีชีวิต แต่ด้วยสภาพความเปลี่ยนไป ของบริบททั้งด้านสังคมและพื้นที่ ทำให้พื้นที่ในการทำนาลดลง แต่ข้าวเป็นพืช ที่มีความสำคัญในการสร้างความมั่นคงในครัวเรือนและชุมชน กระผมต้องขอชื่นชมท่านทั้งหลาย ที่รวมกลุ่มกันปลูกข้าว ร่วมกันพัฒนาการผลิต และการตลาดสิ่งที่ได้จากกิจกรรมการลงแขกเกี่ยวข้าวในวันนี้ นอกจากจะเป็นการลดต้นทุนแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมความรัก ความสามัคคี ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ความร่วมมือของคนในชุมชน ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งมีความหลากหลายสอดคล้องกับนโยบาย ของ พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ที่ต้องการให้พี่น้องประชาชนมีส่วนร่วม ในกระบวนการเสริมสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน และพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ก่อเกิดความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน บนพื้นฐานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จนสามารถนำมาสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข บนสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างแท้จริง

 

โดยกิจกรรม พหุวัฒนธรรม ”ลงแขกเกี่ยวข้าว” สืบสานประเพณีลาซังรักษ์วิถีถิ่น ร่วมกินข้าวใหม่ บนพื้นฐาน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เสริมสร้างสัมพันธภาพพี่น้องชายแดนใต้ จัดขึ้นเพื่อเป็นการฟื้นฟูรักษา ประเพณีอันสวยงามในการร่วมมือ ร่วมใจ ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ของสังคมพหุวัฒนธรรม ของพี่น้องประชาชนไทยพุทธ พี่น้องประชาชนไทยมุสลิมในพื้นที่ ซึ่งมีมาตั้งแต่อดีต ซึ่งสังคมพหุวัฒนธรรม ไม่ใช่มีแค่เรื่องลงแขกเกี่ยวข้าว ยังมีเรื่องราวต่าง ๆ อีกหลายกิจกรรม ที่เป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนได้ทิ้งไว้เป็นมรดก ให้เราได้สืบสานต่อไป เพราะมัน เป็นเครื่องมือสําคัญ ของกระบวนการสร้างความรัก ความร่วมมือ ความสามัคคี ที่สามารถยึดเหนี่ยวจิตใจ ของการอยู่ร่วมกัน ในการสร้างสังคมให้เกิดความผาสุกได้ และเป็นพลเมืองในบริบทของสังคมพหุวัฒนธรรม กระตุ้นให้เกิดกลไก การจัดการ ชุมชน ตามธรรมชาติ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ศักยภาพผู้นํา และประชาชนให้สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ทรัพยากร ภูมิปัญญา และวิถีชุมชน รวมถึงการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ สู่แนวคิดความ เป็น "พลเมืองไทย ในบริบทสังคมพหุวัฒนธรรม" น้อมนําศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง ตลอดจน กิจกรรมลงแขกเกี่ยวข้าว เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างให้ทั้ง 2 ศาสนาได้มีความรักความสามัคคีกันได้ ผลผลิตข้าวนำมาบริโภค และจำหน่ายสร้างรายได้แก่พี่น้องเกษตรกร อีกทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยววิถีชุมชน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นการสืบสานวัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของบรรพชนรุ่นก่อนให้คนรุ่นหลัง หรือรุ่นปัจจุบันได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันต่อไป นับว่าเป็นสิ่งที่ดี และที่สำคัญคือได้สร้างความมีส่วนร่วม ความสามัคคีปรองดองระหว่างพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมสืบไป

 

ที่มา : แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส


TRENDING
© Copyright 2022, All rights reserved. South Time Thailand
Take Me Top